2554-12-17

ศูนย์แสดงศิลปะ ลินห์นคอน เซ็นเตอร์ (Lincoln Center for the Performing Arts)

ศูนย์แสดงศิลปะ ลินห์นคอน เซ็นเตอร์ (Lincoln Center for the Performing Arts)
 ภาพประกอบโดย SeanPavonePhoto / Shutterstock.com


 ศูนย์แสดงศิลปะ ลินห์นคอน เซ็นเตอร์ ถูกก่อตั้งขึ้นโดยมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งในปี 1960 จอห์น ดี ร็อคกีเฟลเลอร์( John D. Rockefeller)  เป็นศูนย์ศิลปะที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นบ้านของสถาบันศิลปะนิวยอร์กทั้ง 12 แห่ง อาทิ โรงละครโอเปร่า( the New York city opera), เมโทรโพลิแทน, โรงแสดงบัลเล่ต์นิวยอร์ก(the New York City Ballet) ,ที่จัดแสดงคณะประสานเสียง(the New York Philharmonic) โรงหนังลินห์นคอน เซ็นเตอร์, Juilliard School เป็นต้น และเป็นที่แน่นอนเลยว่าผู้หลงใหลศิลปะทั้งหลาย จะได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมกับผลงานอันตระการตาต่าง ๆ จากเหล่านักแสดงและเป็นแรงใจให้กับศิลปินหน้าใหม่มามากกว่า 50 ปี

video Lincoln Center
youtube.com

อ้างอิง :  http://board.postjung.com
            youtube.com
            wikipedia.com

2554-12-13

หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

อศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (อังกฤษ: Bangkok Art and Culture Centre) หรือ หอศิลป์กรุงเทพฯเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตั้งอยู่ที่สี่แยกปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 
 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บริเวณภายนอกอาคาร




 ทางเดินก้นหอยรอบตัวอาคาร



 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บริเวณภายนอกอาคารเชื่อมต่อทางเดินจากมาบุญครอง



 บริเวณภายในจัดแสดง
ประวัติ 
โครงการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 โดยกลุ่มศิลปินร่วมสมัยแห่งประเทศไทยนับพันคนได้จัดแสดงผลงานที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยหวังให้สังคมเห็นว่า มีศิลปินมากพอที่ควรจะมี หอศิลป์ มาเป็นพื้นที่รองรับในการแสดงออกผลงาน และเก็บรักษาผลงานในอดีตและประวัติศาสตร์ เป็นที่รวมกลุ่มศิลปิน เพื่อพบปะ แลกเปลี่ยนความคิด แนวการทำงาน ผลก็คือการผลักดันให้เกิดการพัฒนาของวงการศิลปะในบ้านเมืองนี้
สมัยของ ดร.พิจิตต รัตตกุลได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่า กทม. มีการผลักดันจนกระทั่ง กทม. มีนโยบายที่จะสร้างหอศิลป์ขึ้น มีการกำหนดพื้นที่ตั้งหอศิลป์ที่บริเวณสี่แยกปทุมวัน และผู้ชนะจากการประกวดแบบหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ได้แก่ บริษัท Robert G. Boughey & Associates (RGB Architects) ความพร้อมทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2539 แต่ในสมัยของนายสมัคร สุนทรเวชผู้ว่า กทม. คนต่อมา โครงการหอศิลป์กรุงเทพมหานครถูกรื้อถอนโครงการความคืบหน้าเดิมทิ้งทั้งหมด โดยเปลี่ยนเป็นพื้นที่การค้าตามรูปแบบการใช้พื้นที่แถบนั้น และมีส่วนแสดงศิลปะไว้เล็กน้อย ซึ่งบรรดาศิลปินและคนทำงานศิลปะในหลายแขนงต่างไม่พอใจในการยุบโครงการนี้เป็นอย่างมาก และได้เคลื่อนไหวเรียกร้องมาตลอดสมัยของนายสมัคร สุนทรเวช
จากการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อสู้เพื่อให้มีหอศิลป์โดยเครือข่ายประชาชนและกลุ่มศิลปินที่ยาวนาน จนกระทั่งกรุงเทพมหานคร โดยผู้ว่าราชการฯ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้เล็งเห็นความสำคัญของศิลปวัฒนธรรม และได้วางนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นนโยบายหลัก โดยมุ่งเน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ของเด็ก เยาวชน และประชาชนในสังคม ให้ตระหนักถึงคุณค่าของศิลปวัฒนธรรม สภาแห่งกรุงเทพมหานครจึงได้อนุมัติงบประมาณดำเนินการก่อสร้างหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 509 ล้านบาท[1] เพื่อผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม ซึ่งหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre) ได้เริ่มก่อสร้างในที่ดินของกรุงเทพมหานคร บริเวณสี่แยกปทุมวัน และได้มีการเปิดโครงการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2548
ในกำหนดการเดิม หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จะสร้างเสร็จช่วงปลายปี 2549 แต่การก่อสร้างได้ล่าช้าออกไปจากเดิม แล้วเสร็จเปิดใช้งานเมื่อ พ.ศ. 2551 โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดหอศิลปฯ ประติมากรรมช้างเอราวัณ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ชุด "บารมีแห่งแผ่นดิน" และนิทรรศการโขนพรหมมาศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 4 ปี นับตั้งแต่การเปิดโครงการหอศิลปฯ แห่งนี้อีกด้วย
พื้นที่ใช้สอยและตัวอาคาร
ตัวอาคารสูง 9 ชั้น (บวกอีก 2 ชั้นใต้ดิน) โดยในตัวอาคารถูกออกแบบมาให้เป็นทรงกระบอก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อระหว่างอาคารได้ด้วยทางเดินวน เป็นแนวเอียงขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้คนที่เข้ามาชมผลงาน สามารถชมได้ต่อเนื่องในแต่ละชั้น นอกจากนี้ตัวอาคารยังออกแบบมาให้สามารถรับแสงสว่างจากภายนอกได้ โดยที่แสงไม่แรงพอจะที่เข้ามาถึงขนาดทำลายผลงานศิลปะที่แสดงอยู่ข้างในได้ นอกจากห้องนิทรรศการที่มีอยู่หลายส่วนแล้ว ภายในยังมีส่วนที่เป็นห้องสมุดประชาชน, ห้องปฏิบัติการศิลปะ, ห้องอเนกประสงค์ 300 ที่นั่ง, ร้านค้า รวมไปถึงโรงภาพยนตร์-โรงละครขนาด 222 ที่นั่ง

ที่ตั้
ริเวณสี่แยกปทุมวัน หัวมุมถนนพระรามที่ 1 และถนนพญาไทตรงข้ามมาบุญครอง และ สยามดิสคัฟเวอรี่, มีทางเดินเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สนามกีฬาแห่งชาติ

credit: http://th.wikipedia.org

สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย.

2554-12-09

" บูเช็คเทียน " ศิลปะแห่งการช่วงชิงอำนาจ และช่วงใช้คนเก่ง

บูเช็คเทียน

“หญิงงาม” ต้องตกเป็นจำเลยสำคัญตลอด 3000 ปีที่ผ่านมา ในการอธิบายความล่มสลายของราชวงศ์จีนนับครั้งไม่ถ้วน
หากทว่ามีเพียง 1 หญิงงามเท่านั้น ที่สามารถใช้เสน่ห์พิศวาสในการกรุยทางสู่อำนาจ และครุ่นคิดวางแผนจนกระทั่งโค่นล้มราชวงศ์เก่า ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ของตนเองได้สำเร็จ เธอจึงเป็นจักรพรรดินีหญิงเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์จีน
บูเช็คเทียน นับเป็นจักรพรรดินีที่เหี้ยมโหดและฟุ้งเฟ้อที่สุดคนหนึ่งของโลก หากทว่า เธอกลับสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ยิ่งใหญ่รุ่งเรืองไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกคนใด จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ในการสรุปบทเรียนแห่งความสำเร็จเพื่อประยุกต์พลิกแพลงใช้ในชีวิตจริง

 1. สร้างบุญคุณกับ “คนรากหญ้า” ที่เป็นเบี้ยหมากสำคัญในการช่วงชิงแผ่นดิน
 ชนชั้นสูงทั่วไปที่ได้รับอำนาจจากบรรพบุรุษโดยไม่ต้องเหนื่อยยากลำบาก ย่อมมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง นั่นคือ การละเลยชนชั้นล่างที่เป็นฐานอำนาจให้ตนเองได้เสวยสุขในทุกวัน

 ชีวิตวัยสาวสะพรั่งของบูเช็คเทียนต้องสูญเสียไปโดยแทบไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน เมื่อเธอเป็นเพียงสนมระดับปลายแถวที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก “ถังไท่จง” มหาราชาผู้สถาปนาราชวงศ์ถัง หากทว่าโอกาสเพียงน้อยนิดในวังหลวง ก็ทำให้เธอสามารถหว่านเสน่ห์ให้กับเจ้าชายองค์หนึ่ง ที่แม้จะอ่อนแอขี้โรคและด้อยสติปัญญา แต่สุดท้ายด้วยโชคชะตาพลิกผันในปลายรัชกาล ก็ดลบันดาลให้เจ้าชายไร้ความสามารถได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา


หลังจากพิชิตใจ “ถังเกาจง” ที่เป็นราชันองค์ใหม่ไว้ในกำมือได้ หากกระนั้น การไต่เต้าจากนางสนมระดับล่างขึ้นสู่ตำแหน่งราชินีก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะระบบราชการในวังหลวงย่อมไม่เปิดโอกาสให้คนนอกที่เป็นชนชั้นกลางและล่างได้ฉกฉวยทะเยอทะยานขึ้นมาโดยสะดวก จึงต้องมีการเค้นสมองครุ่นคิดเพื่อหาจุดอ่อนช่องว่างในการแทรกตัวสู่วงโคจรแห่งอำนาจ

“คนรับใช้” ซึ่งเป็นกลไกทำงานที่ขาดไม่ได้ในทุกกิจกรรมของวังหลวง จึงเป็นหมากพิสดารในการช่วงชิงอำนาจของบูเช็คเทียน โดยการผูกมิตรด้วยน้ำใจและทรัพย์สินเงินทอง ก็ย่อมทำให้คนรับใช้ทั้งหลายยินดีเป็นหูเป็นตาให้บูเช็คเทียน ทั้งเพื่อสะสมข้อมูลในการป้องกันตัวเองและรอคอยโอกาสทำร้ายศัตรู
2 ปีต่อมา บูเช็คเทียนก็สบโอกาสปรักปรำใส่ร้ายราชินีหวาง ซึ่งแม้จะเป็นคนดี แต่ก็ไม่เคยใส่ใจกับชนชั้นล่างที่รับใช้ตนเองอยู่ทุกวันเลย จึงไม่มีพยานรู้เห็นคอยแก้ต่างให้เธอในยามที่ต้องคดีฆ่าลูกสาวของบูเช็คเทียน เพราะเธอเป็นคนสุดท้ายที่เข้ามาเยี่ยมเยือนเด็กน้อย

หลังจากผิดพลาดไปครั้งหนึ่งแล้วราชินีหวางก็ยังไม่ตื่นตัว ตามประสาชนชั้นสูงที่ไม่คุ้นเคยกับเล่ห์อุบายลึกซึ้ง ในที่สุดเธอก็โดนข้อหางี่เง่าที่สุดซึ่งทำให้หลุดจากตำแหน่งราชินี นั่นคือ การใช้เวทมนตร์คุณไสยเพื่อทำร้ายองค์กษัตริย์ โดยมีหลักฐานเป็นตุ๊กตาไม้ที่มีพระนามและดวงชะตาขององค์กษัตริย์สลักไว้ พร้อมด้วยตะปูซึ่งตอกผ่านไปที่หัวใจ หลักฐานนี้พบที่ใต้แท่นบรรทมของราชินีหวาง ซึ่งเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นฝีมือของคนรับใช้ที่แสนต่ำต้อย ซึ่งเคยได้รับน้ำใจจากบูเช็คเทียน

เมื่อแสดงฝีไม้ลายมือไปพอสมควรก็เริ่มมี “ข้าราชการ” ชั้นผู้น้อยบางคน เข้ามาแสวงหาโอกาสและเป็นพันธมิตรช่วยเหลือ ซึ่งบูเช็คเทียนก็ยินดีรับเป็นสมัครพรรคพวก ยิ่งเมื่อเธอขึ้นสู่อำนาจอย่างมั่นคงแล้ว ก็ยังเปิดโอกาสให้ชาวบ้านร้านตลาดที่เกะกะระรานหรือขี้ประจบเอาใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกมช่วงชิงความเป็นใหญ่อีกด้วย

ความได้เปรียบเพียงประการเดียวของบูเช็คเทียนในช่วงแรก คือ การมีกษัตริย์คอยหนุนหลังให้ท้าย หากทว่าเธอจะใช้มันอย่างไรให้เป็นประโยชน์สูงสุด บางคนอาจมองว่าให้ผูกมิตรกับคนเก่งและคนดีไว้เพื่อใช้เป็นบันไดไต่เต้าขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเธอไม่ได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ซ้ำยังผิดธรรมเนียมที่เป็นเมียพ่อแล้วยังมาเป็นเมียลูกอีก จึงยากที่คนเก่งและคนดีจะเห็นเธออยู่ในสายตา

การที่เธอให้ความสำคัญกับคนรับใช้ที่ต้อยต่ำ ชาวบ้านที่อยู่นอกรั้วนอกวังที่เข้ามาให้ข้อมูลข่าวสารหรือสร้างความชอบธรรมแห่งอำนาจ รวมถึงข้าราชการที่ไม่ได้มีคุณสมบัติโดดเด่น ก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด ในเกมแย่งชิงความเป็นใหญ่ที่ทรัพยากรเริ่มต้นของเธอมีจำกัดจำเขี่ยอย่างยิ่ง

สรรพสิ่งไม่ว่าต่ำต้อยเพียงใด ย่อมมีพลังและคุณค่าให้ใช้สอย

 2. คำนวณจังหวะเหมาะสมในการทำร้ายหรือช่วงใช้ “คนเก่ง”

สิ่งที่ทำให้บูเช็คเทียนแตกต่างจากนักการเมืองธรรมดาทั่วไป ก็คือ การเห็นความสำคัญของคนเก่ง ทั้งในฝ่ายที่เป็นมิตรและศัตรู

ในช่วงเริ่มต้นที่ทุนรอนอำนาจยังมีไม่มากนัก การเปิดศึกหลายด้านกับคนเก่งและคนดีที่ประชาชนรักใคร่ย่อมไม่ใช่วิถีของผู้ทรงภูมิ เธอจึงสะสมและจัดการไปทีละคน ซึ่งช่วยลดทอนความเสี่ยงและเพิ่มพูนโอกาสแห่งชัยชนะ ที่สำคัญยังทำให้คนเก่งบางคนเริ่มเปลี่ยนใจมารับใช้มากขึ้น ตามสมการอำนาจที่เปลี่ยนดุลไป

หลังจากที่มั่นคงและปลอดภัยในอำนาจแล้ว เธอก็เริ่มเปิดโอกาสให้คนเก่งที่ถูกเนรเทศและหลงเหลือชีวิตจากการกวาดล้าง กลับเข้ามารับใช้บ้านเมืองอีกครั้ง ในขณะที่คนชั่วร้ายซึ่งเคยเป็นหินรองเท้าในการขึ้นสู่อำนาจ ก็จะถูกกำจัดไปทีละคน ทั้งโดยการเปิดช่องทางให้จัดการกันเอง และการปล่อยให้คนดีที่เคยถูกทำร้ายได้ร่วมกันวางแผนเพื่อโค่นล้มอันธพาลซึ่งหมดประโยชน์แล้วทิ้งไป

ช่วงท้ายของรัชกาล บูเช็คเทียนกลับสูญเสียความสามารถแห่งการจัดการคนเก่งไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเธอพึ่งพา “ตี๋เหรินเจี๋ย” ในการแสวงหาผู้เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญมากมาย ซึ่งคนเหล่านี้จะกลับมาแว้งกัดและทำให้เธอต้องสละราชสมบัติที่แย่งชิงมาอย่างลำบากยากเย็น

การเลือกสรรเพียงคนเก่งมาทำงานให้ชาติ จึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของนักการเมือง หากยังต้องเลือกสรรคนที่ไว้วางใจได้มาคอยถ่วงดุล ไม่ให้คนเก่งมีอำนาจล้นเกินและสมคบศัตรูมาโค่นล้มผู้เป็นนาย หากทว่าการกำจัดคนเก่งทิ้งให้หมดสิ้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชาญฉลาด เพราะอาจทำให้การบริหารบ้านเมืองล้มเหลว จนกระทั่งประชาชนลุกฮือขึ้นมาทำร้ายราชบัลลังก์

“คนเก่ง” จึงเป็นเหมือนอาวุธร้าย ที่อาจนำพาเราขึ้นสู่อำนาจหรือโค่นล้มเราตกจากอำนาจก็ย่อมได้ การแสวงหาคนเก่งให้มากที่สุด เพื่อตัดโอกาสคู่แข่งในการนำไปใช้สอยเพื่อต่อสู้กับเราจึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ หากทว่า การซื้อใจและสร้างความภักดีให้คนเก่งขึ้นตรงต่อเรา ย่อมเป็นสิ่งที่พึงกระทำยิ่งกว่า สุดท้ายสิ่งที่พึงกระทำสูงสุดก็คือ การแสวงหาชนชั้นล่างที่ต่ำต้อยและต้องพึงพาตัวเราที่สุดให้เข้ามาลิ้มรสเย้ายวนแห่งอำนาจ เพื่อคอยสร้างสมดุลแห่งอำนาจไม่ให้คนเก่งทั้งหลายคบคิดกันกระทำรัฐประหารได้

บูเช็คเทียนย่อมทำตามสูตรสำเร็จนี้ หากทว่ายังมีจุดบกพร่องเล็กน้อย นั่นคือ การคลุกกับชายหนุ่มรูปงามซึ่งต้องพึ่งพาเธอมากเกินไป จนกระทั่งละเลยที่จะแบ่งเวลาเพียงน้อยนิดมากระชับสัมพันธ์กับคนเก่งที่เธอเลือกสรรมา ในที่สุดคนเหล่านี้จึงเอาใจออกห่าง โดยหวนกลับไปสวามิภักดิ์ราชวงศ์เก่าที่ล่มสลายไปแล้ว หากยังมีเศษซากแห่งความทรงจำที่ดีหลงเหลือเป็นเชื้อไฟ

 3. ยอดคน = เก่งในหน้าที่การงาน + เก่งในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์

การกวาดล้าง “คนเก่ง” ของพระนางบูเช็คเทียน พิจารณาผิวเผินจึงดูเหมือนเป็นการทำร้ายบ้านเมือง หากทว่า เหตุใดราชวงศ์ถังในยุคของพระนางจึงรุ่งเรืองยิ่งใหญ่

ถังไท่จง (หลี่ซื่อหมิน) เป็นสุดยอดราชันที่ได้วางรากฐานราชวงศ์ไว้อย่างเลอเลิศ หากทว่า การที่ราชสำนักเต็มไปด้วยคนเก่งก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะย่อมทำให้คนที่เก่งกว่า หากทว่าเข้าสู่วงจรอำนาจทีหลัง ไม่มีโอกาสได้ไต่เต้าขึ้นไป

การกวาดล้างของพระนางบูเช็คเทียน ย่อมเปิดโอกาสให้คนเก่งที่ฉลาดในการเอาตัวรอด ได้เข้าแทนที่คนเก่งซึ่งเพียงแต่ฉลาดในหน้าที่การงานเท่านั้น

ข้าราชการที่เน้นเพียงประสิทธิภาพและคุณความดีเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่อาจรับมือกับปัญหาของบ้านเมืองที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนได้ ดังนั้น ในระยะยาวจึงไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ
ทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์หลากหลาย โดยเฉพาะการเลือกข้างทางการเมือง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่อาจแน่ใจได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะตัวจริง ยิ่งถ้าเกมการเมืองพลิกกลับไปมา คนที่เลือกข้างถูกต้องในระยะยาวก็อาจโดนฝ่ายที่ชนะในระยะสั้นกวาดล้างไปก่อน ที่สำคัญ พวกซึ่งมีเพียงความภักดีโดยไร้ฝีมือทำงาน ก็ยังถูกพระนางบูเช็คเทียนกวาดล้างไปในตอนท้ายอีกด้วย

“หลี่จี” นับเป็นตัวอย่างคนเก่งที่มีไหวพริบพลิกแพลงถึงขีดสุด เริ่มตั้งแต่การรับใช้หลี่มีในยุคบ้านเมืองวุ่นวาย สุดท้ายเมื่อหลี่มีพ่ายแพ้และเข้าสังกัดราชวงศ์ถัง หลี่จีก็สามารถเข้ากับราชวงศ์ใหม่และไต่เต้าไปสู่อำนาจได้ เมื่อบูเช็คเทียนกวาดล้างข้าราชการในราชวงศ์ถัง หลี่จีก็เลือกจังหวะเวลาเหมาะสมในการเข้าสวามิภักดิ์กับบูเช็คเทียนและไต่เต้าไปจนถึงจุดสูงสุดของชีวิต

ตี๋เหรินเจี๋ย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง เพราะถึงแม้จะภักดีกับราชวงศ์ถัง แต่ยังต้องอดทนอดกลั้นไว้ หากทว่าตี๋เหรินเจี๋ยก็ยังรักษาคุณงามความดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ยินดีทำชั่วเพื่อประจบเอาใจบูเช็คเทียน ในที่สุดเมื่อยุคแห่งการกวาดล้างผ่านพ้นไป ตี๋เหรินเจี๋ยจึงกลายเป็นข้าราชการที่ได้รับความไว้วางพระทัยอย่างสูงยิ่ง

ความอ่อนแอของราชวงศ์ถังในช่วงเวลาต่อมา จึงไม่ได้เกิดจากการกวาดล้างทางการเมืองของพระนางบูเช็คเทียน หากทว่ากลับมีสาเหตุมาจากความฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายของพระนาง แม้กระนั้น คุณูปการที่ทรงทำให้บ้านเมือง ก็สมน้ำสมเนื้อกับการเสวยสุขในบั้นปลายชีวิต หากจะโทษก็ต้องว่าคนรุ่นหลังที่ไม่สามารถบริหารประเทศให้ดีทัดเทียมจักรพรรดินีหญิงองค์เดียวแห่งประวัติศาสตร์จีน


 http://www.siamintelligence.com/wu-zetian-politic/
  http://board.postjung.com/581384.html



ศิลปะการพับกระดาษ by Simon Schubert






เห็นแล้วต้องทึ่งกับผลงานอันยอดเยี่ยมของ  Simon Schubert 
ที่บรรจงสร้างสรรลงบนแผ่นกระดาษสีขาวบางๆ  ให้เกิดเป็นลวดลายรูปภาพอันงดงาม
แถมภาพเหล่านั้นยังมีมิติให้น่าค้นหา   ค้นหา....ว่าทำได้ไงหว่า?
ภาพผลงานต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างด้วยการพับขึ้นจากกระดาษ
ด้วยจิตนาการของ Simon และเทคนิคเฉพาะตัวเค้า  ที่เชื่อได้ว่าเพื่อนๆเองก็ต้องสงสัยว่าเค้าทำได้ไง 
แล้วใช้เทคนิคอะไรทำ  และต้องลองไปชมผลงานกันแบบเต็มๆ







 ขอบคุณเครดิต//http://fukduk.com

2554-10-19

Creatvie & Craft Fair2011 ภาพสินค้า

Creative & Craft Fair2011 งานที่รวบรวมสินค้าหัตถกรรม และงานทำมือต่างๆจากศิลปินที่มาสร้างสรรค์ผลงาน ผ่านไอเดียที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก พบกับร้านค้ามากมายจาก ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) งานจัดผ่านมาแล้วครับตั้งแต่ 21-30 กรกฎาคม 2011

ภาพตัวอย่างสินค้า
เก้าอี้เก๋ๆ ดีไซด์ดี ทำจากเถาวัลย์ เป็นงานทำมือที่ประณีตและคุณภาพเยี่ยม
หนังสือทำมือ มีกิจกรรม workshop ให้ลองทำกันด้วย



เทียน ทำมือรูปน้องหมา เป็นงานฝีมือคนไทย



เทียนทำมือจากฝีมือคนไทย


กระเป๋าเทียน


ที่วางยากันยุง

Amarin Discovery...Art & Paper by HHK

Amarin Discovery โดยศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า ขอเชิญทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์งานศิลปะระดับโลก พร้อมชื่นชมนิทรรศการสุนทรียภาพแห่งศิลปะช้างไทย “Mega Chang Art Exhibition” ในงาน Amarin Discovery…ART and PAPER by HHK SALE up to 70% OFF ที่ครั้งนี้บริษัท HHK พาเหรดเครื่องเขียน และอุปกรณ์ศิลปะแบรนด์ดังระดับโลก อาทิ สีน้ำมันเลอฟรัง(Lefranc), สีอคริลิค “ลิควิเท็กซ์”(Liquitex), พู่กันราฟาเอล (Raphael), กระดาษแคนสัน (Canson), อุปกรณ์ศิลปะปิรมิด (Pyramid), Arches, Conte a Paris ฯลฯ มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษลดสูงสุดถึง 70% นอกจากจะเต็มอิ่มไปกับการเลือกซื้ออุปกรณ์ศิลปะคุณภาพเยี่ยมมากมายภายในงานแล้ว ยังได้ชมมหกรรมนิทรรศการผลงานศิลปะกว่า 100 ชิ้น พร้อมกิจกรรมเวิร์คช็อปจากศิลปินชื่อดังฝีมือชั้นเซียนมาให้ความรู้ และแนะนำเทคนิคงานศิลปะผลัดเปลี่ยนกันทุกวัน

พบความพิเศษและร่วมเปิดประสบการณ์การเรียนรู้เทคนิคการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้ ตั้งแต่วันที่ 17-26 ตุลาคม 2554 ณ ชั้น 1 ,Event Hall ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า…ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/AmarinDiscovery









2554-10-18

ศิลปะอิสลาม กับ quasicrystals และ Penrose tile







สถาปนิก และ นักคณิตศาสตร์มุสลิมในยุคกลางอาจได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างรูปแบบทางคณิตศาสตร์ที่เรียกกันว่า Quasicrystal ได้ก่อนนักคณิตศาสตร์ตะวันตกมากกว่า 500 ปีเลยทีเดียว อ้างอิงจากการศึกษาของ สองนักฟิสิกส์อเมริกัน Peter J Lu แห่งมหาวิทยาลัย Harvard และ Paul Steinhardt แห่งมหาวิทยาลัย Princeton ทั้งสองเชื่อว่ากระเบื้องรูปแบบพิเศษที่พัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 13 ช่วยให้สถาปนิกชาวมุสลิมใช้คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนสร้างลวดลายเลขาคณิตที่งดงามมาประดับสุเหร่าของพวกเขาแม้ว่าจะไม่เข้าใจทฤษฎีพื้นฐานก็ตาม 

Peter J Lu เป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Harvard ได้เดินทางไปยังประเทศอุซเบกิสถานเพื่อบรรยายงานวิจัยด้านฟิสิกส์ และในดินแดนนี้เองที่ Lu ได้เกิดความหลงใหลและพิศวง ในความสวยงามและลวดลายทางเรขาคณิตอันน่าทึ่งของ ลายกระเบื้องที่เรียกว่า กิริด (girih) ที่ใช้ประดับอยู่บนสุเหร่าเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี และพยายามทำความเข้าใจว่าศิลปินโบราณเหล่านี้สร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร คำตอบที่เขาพบไม่ใช่เพียงแค่วิธีที่จะสร้างมันขึ้นมา เขายังค้นพบความลึกซึ้งทางคณิตศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในแบบลวดลายเหล่านั้นยังเชื่อมโยงถึงความคิดทางคณิตศาสตร์สมัยใหม่ ผลงานของเขาได้ตีพิมพ์บทความลงในวารสาร Science ฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2550 (Science 315 1106) 

เครื่องมือคณิตศาสตร์ที่สถาปนิกสมัยนั้นใช้ออกแบบคือใบบรรทัดและวงเวียน ในทางทฤษฎี ลวดลายเหล่านี้สามารถสร้างได้โดยการลากเส้นลงบนสิ่งก่อสร้างโดยตรง หากแต่ ปีเตอร์ ลู พบว่าลวดลายเหล่านั้นมีความสมบูรณ์อย่างน่ามหัศจรรย์แม้แต่จะเป็นลวดลายที่อยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าลวดลายดังกล่าวสร้างจากการวาดลบบนผนังโดยตรงก็ควรจะมีความผิดพลาดเล็กๆซึ่งสามารถเห็นได้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ๆ แต่ปีเตอร์ ลู ไม่พบความผิดพลาดดังกล่าวทำให้เขาเชื่อว่า ศิลปิน และ สถาปนิกมุสลิมโบราณจะต้องมีเทคนิคอื่นในการวางกระเบื้องเหล่านี้ ซึ่งเขาได้อาศัยประสบการณ์และความรู้จากการทำโครงการปริญญาตรีเรื่อง Quasicrystal มาสังเกตุพบว่าลวดลายกระเบื้องบนสิ่งก่อสร้างของศาสนาอิสลามมีลักษณะคล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า Penrose tiles หรือ กระเบื้องเพนโรส ซึ่งเป็นรูปทรงเลขาคณิตสองรูป (รูปว่าวและลูกศร) ซึ่งเมื่อปูกระเบื้องเหล่านี้จะสามารถสร้างเป็นลวดลายที่ไม่ซ้ำกัน 

เพื่อที่จะให้เข้าใจว่า Quasicrystal คืออะไรเราอาจจะมาพิจารณากันก่อนว่า Crystal หรือผลึกในทางคณิตศาสตร์นั้นคืออะไร คำว่าผลึกนั้น อาจหมายถึง เซตของจุด หรือ ลวดลาย ซึ่งมีการกระจายตัวกันอย่างมีระเบียบ เป็นรูปแบบที่ซ้ำกัน และแผ่ขยายออก ซึ่งในทางคณิตศาสตร์เราจะบอกว่าผลึกมีสมมาตรภายใต้การเลื่อนตำแหน่ง คือถ้าเราเลื่อนไปทางทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นระยะทางที่เหมาะสม เราพบลวดลายที่ซ้ำเดิม ผลึกมีสมมาตรภายใต้การหมุดเช่นเดียวกัน คือ ถ้าหมุนลวดลายทั้งหมดด้วยมุมที่เหมาะสมก็จะได้ลวดลายเดิมเช่นเดียวกัน 

ในกรณีของ Quasicrystals นั้นเป็นลวดลาย ซึ่งมีการกระจายตัวกันอย่างมีระเบียบ และแผ่ขยายออก แต่ไม่ได้มีสมมาตรภายใต้การเลื่อนตำแหน่ง นั่นคือถ้าเราเลื่อนลวดลายไปในทิศทางใดๆก็ตามเราจะไม่สามารถที่จะทับลวดลายเดิมได้สนิท 

นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ Sir Roger Penrose ได้อธิบาย Quasicrystal ไว้เป็นคนแรก ทฤษฎีของเขาเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ Penrose tile และหลังจากนั้น Danny Schechtman นักฟิสิกส์ชาวอิสราเอลก็ค้นพบตำแหน่งของอะตอมในโลหะอัลลอยด์ โครงสร้างแบบ Quasicrystal หลังจากนั้นโครงสร้างแบบ Quasicrystal ก็ถูกค้นพบอีกหลายร้อยโครงสร้างในธรรมชาติ ในทางฟิสิกส์นั้น Quasicrystal มีคุณสมบัติที่น่าสนใจ เช่น โลหะที่เป็น Quasicrystals จะนำความร้อนได้ไม่ดี ซึ่งได้มีการนำไปใช้ผลิตสารเคลือบผิวไม่ให้อาหารติดกระทะเป็นต้น 

Penrose tiling นั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกับลวดลาย girih ของสถาปัตยกรรมอิสลามมาก ขณะที่เดินทางอยู่ในประเทศอุซเบกิสถาน ปีเตอร์ ลูได้ค้นพบว่าลวดลายกระเบื้องมีสมาตรภายใต้การหมุนที่เรียกว่า 10-fold rotational symmetry ซึ่งเป็นสมมาตรที่พบใน Penrose tiling บางแบบ และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาค้นหาตรวจสอบภาพของสถาปัตยกรรมอิสลามนับพันภาพเพื่อที่จะหาโครงสร้างของ Quasicrystal ซึ่งในที่สุดเขาก็พบลวดลายกระเบื้องที่วิหาร Darb-i Imam ในประเทศอีหร่านในรูป (ก) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1453 

ปีเตอร์ ลู กล่าวว่า ลวดลายกระเบื้องที่ Darb-i Imam นั้นเกือบจะเป็น Quasicrystal ที่สมบูรณ์แบบ มีเพียงกระเบื้องบางแผ่นเท่านั้นที่วางผิดที่ไป และเขาเชื่อว่าลวดลายกระเบื้องที่วิหารแห่งนี้ออกแบบมาให้เป็น Quasicrystal ที่สมบูรณ์แบบแต่อาจจะเกิดความผิดพลาดในระหว่างการก่อสร้างหรือการซ่อมแซม 

การจะสร้างลวดลาย Quasicrystal ต้องอาศัยการประยุกต์ของหลักคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะอยู่เหนือความสามารถของศิลปินมุสลิมในยุคนั้น ปีเตอร์ ลู กล่าวว่า นักคณิตศาสตร์มุสลิมใส่ความเข้าใจในเรื่อง Quasicrystal ลงไปในกระเบื้องที่มีรูปร่างต่างกันห้าแบบ ได้แก่ รูปหลายเหลี่ยม (สิบเหลี่ยม หกเหลี่ยมและห้าเหลี่ยม) รูปโบ รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ดังแสดงในรูป (ค) กระเบื้องแต่ละแผ่นจะมีการลากเส้นเชื่อมระหว่างด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเมื่อปูกระเบื้องเหล่านี้ให้ด้านข้างชนกัน เส้นที่ลากไว้จะต่อกันเป็นลวดลายที่ต่อเนื่องดังที่เห็นในรูป (ง) ซึ่ง ปีเตอร์ ลู เชื่อว่าน่าจะเป็นการคำนวณโดยคนงานที่มีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 

นักวิจัยทั้งสองคนได้นำกระเบื้อง girih เหล่านี้มาปูต่อกันได้เป็นลวดลายต่างๆหลายชนิด ซึ่งรวมถึงลวดลายกระเบื้องที่ปรากฏที่วิหาร Darb-i Imam และพวกเขายังอ้างว่าแบบร่างของกระเบื้องทั้งห้าแบบสามารถพบได้ในม้วนกระดาษโบราณสมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธพันธ์ในกรุงอีสตัลบูล ประเทศตุรกี นอกจากนี้พวกเขายังอ้างด้วยว่า ม้วนกระดาษโบราณ และ วิหาร Darb-i Imam เป็นตัวอย่างที่แสดงว่ากระเบื้องลักษณะนี้สามารถใช้สร้าง self-similarity transformation เพื่อสร้างลวดลายในขนาดต่างๆ ซึ่งเป็นแสดงให้เห็นว่ากระเบื้องเหล่านี้ซ่อนคณิตศาสตร์ชั้นสูงอยู่ภายใน 

อย่างไรก็ตามงานวิจัยชิ้นนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยง ลวดลาย girih กับ Penrose tiling ในปี คศ 1992 นักผลึกวิทยาชาวเดนมาร์ก Emil Makovicky ได้ตีพิมพ์บนความอ้างความเชื่อมโยงระหว่างลวดลายกระเบื้องที่พบในอีหร่านกับ Penrose tiling อย่างไรก็ตามก่อนหน้างานของ Lu และ Steinhardt นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าความคล้ายคลึกกันของลวดลายเหล่านี้เป็นความบังเอิญมากกว่าจะมีการเชื่องโยงทางวิชาการ 


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/84314
โดย jor อรรถกฤต ฉัตรภูติ เป็นผู้โพส

ภาพวาดสีน้ำ ในเกม Shadow of the Colossus

ภาพวาด เกมส์Shadow of Colossus ด้วยสีน้ำ สวยหรือเปล่า เราลองเอาภาพสวยๆมาให้ชมกัน



2554-02-04

Google Art Project

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2011Google เปิดโครงการภาพงานศิลป หรือ Google art Project แบบออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ตโดยรวบรวมภาพความละเอียดสูงจากแกลเลอรี่ทั่วโลก ซึ่งรวบรวม 17 พิพิธภัณฑ์ทั่วโลก คือ

1. Palace of Versailles Versailles
2. Museo Thyssen - Bornemisza Madrid
3. Gemäldegalerie Berlin
4. The Frick Collection New York City
5. Uffizi Gallery Florence
6. Freer Gallery of Art, Smithsonian Washington, DC
7. Van Gogh Museum Amsterdam
8. National Gallery London
9. The Metropolitan Museum of Art New York City
10. MoMA, The Museum of Modern Art New York City
11. Museo Reina Sofia Madrid
12. Rijksmuseum Amsterdam
13.The State Hermitage Museum St.Petersburg
14. Museum Kampa Prague
15. The State Tretyakov Gallery Moscow
16. Alte Nationalgalerie Berlin
17. Tate Britain London

ภาพงานศิลปทั้ง 17 แห่ง สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ชมทั่วโลก เมื่อ 20 ปีที่แล้วการชมภาพงานศิลปต้องเดินทางไปถึงพิพิธภัณฑ์ เมื่อ Google ได้เสนอ Art Project ขึ้น ทำให้การชมภาพงานศิลปะเข้าถึงสาธารณะมากขึ้นโดยไม่จำเป็นเดินทางไปดูด้วยตนเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้โดยอาศัยความร่วมมือของพิพิธภัณฑ์ทั้ง 17 แห่ง จุดประสงค์ที่ทาง Google ต้องการคือการสร้างผู้ชมใหม่ๆ สิ่งที่กูเกิ้ลสรางขึ้นมานั้นน่าสนใจมากๆเลยครับ ใครสนใจคลิกหรือเลือกพิพิธภัณฑ์ที่คุณชืนชอบได้ที่นี่ครับ http://www.googleartproject.com/

ตัวอย่างการแสดงความคิดเห็น "โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีซึ่งจะช่วยให้เราเพลิดเพลินไปกับมรดกทางวัตนธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลก เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมซึ่งทำให้เราสามารถชื่นชมงานศิลปะในเวลาไม่นาน ฉันปรารถนาที่จะให้พิพิธภัณฑ์อื่นๆเข้าร่วมโครงการซึ่งมันจะนำความสุขและความรู้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ รวมทั้งกระตุ้นให้บุคคลอื่นๆสนใจงานศิลปะ" brameos said

"ขอบคุณมากครับ googleart และพิพิธภัณฑ์สำหรับการที่ทำให้ศิลปะมองเห็นได้สำหรับทุกคนในโลกที่มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเบอร์ลินฉันไม่มีเวลาที่จะเข้าไปชมภาพจาก museum ทั้งหมดได้ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย" leljonathan said

2554-01-25

ศิลปะใต้ดิน

ศิลปะใต้ดิน (อังกฤษ: Lowbrow movement หรือ lowbrow art หรือ Lowbrow) คือความเคลื่อนไหวทางทัศนศิลป์ใต้ดิน (underground visual art) ซึ่งเฟื่องฟูขึ้นในบริเวณลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนี่ย สหรัฐอเมริกา ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 โลวโบรว คือ ศิลปะป๊อปอาร์ต ที่มีต้นกำเนิดมาจาก คอมมิกซ์ใต้ดิน, พังค์ร็อค, hot-rod วัฒนธรรมข้างถนน และ วัฒนธรรมอื่นๆ อีกมากมาย โลวโบรว ( lowbrow art ) มีชื่อเรียกชื่อว่า ป๊อป เซอเรียลลิสซึ่ม (pop surrealism)ศิลปะประเภทนี้นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน บ้างก็ร่าเริงแจ่มใส ซุกซน และ ประชดประชัน ศิลปะโลวโบรว ส่วนมากเป็นรูปวาด และ ระบายสี แต่อาจมีของเล่น ศิลปะดิจิตอล และ หุ่นปั้นอยุ่บ้าง
ศิลปินคนแรกๆที่สร้างงานศิลปะแนวนี้ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาในวงการlowbrow คือ underground cartoonist ชื่อ Robert Williams และ Gary Panter งานแสดงศิลปะล่าสุดแสดงอยู่ที่ แกลอรี่ในนิวยอร์ก และ ลอสแอนเจลิส เช่น Psychedelic Solutions Gallery ใน Greenwich Village LaLuz de Jesus และ 01 gallery ใน Hollywood ความเคลื่อนไหวทางศิลปะนี้ค่อยๆงอกเงยจากยุคเริ่มต้น จนมีศิลปินที่นำแนวความคิดนี้ไปปรับใช้หลายร้อยชีวิต เมื่อจำนวนศิลปินเพิ่มขึ้น งานแสดงผลงานทางศิลปะแนวโลวโบรว ก็มากขึ้นตามไปด้วย Julie Rico และ Bess Cutler Gallery เป็น ผู้เผยแพร่ผลงานชิ้นสำคัญ และ เผยแพร่ความเคลื่อนไหวทางศิลปะนี้ ให้เป็นที่รู้จักในวงการศิลปะ นิตยสาร Juxtapoz โดย Robert Williams ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1994 และ เป็นแกนนำในการเขียนวิจารณ์ หรือ ถกแถลงกันเกี่ยวกับ Lowbrow art ซึ่งช่วยชี้แนวทาง และ สนับสนุนการเติบโตขึ้นของความเคลื่อนไหวนี้ นักเขียนได้กล่าวไว้ว่าตอนนี้ลักษณะพิเศษของ Lowbrow art สามารถบ่งเบิกต้นกำเนิดของมันได้อย่างชัดเจน อเมริกาฝั่งตะวันตก นั้นได้รับอิทธิพลจาก underground commix และ hot rod car-culture มากกว่าที่อื่น เมื่อ lowbrow art ได้กระจายไปทั่วโลก มันได้หลอมรวมวัฒนธรรมในสถานที่นั้นๆเข้ากับศิลปะแนวนี้ทำให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ศิลปะชนิดนี้ยังสามารถแบ่งแยกออกเป็นหลากหลายสาขา หรือแม้กระทั่งความเคลื่อนไหวทางศิลปะใหม่ๆอีกแนวหนึ่งก็เป็นได้



From wikipedia


ลักษณะศิลปของ Lowbrow มักจะไม่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ดีเลย แต่ก็เป็นศิลปะที่เข้าถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นไปตามกระแสโลกและเป็นที่โด่งดัง (popular) ในทางตรงกันข้าม ศิลปชั้นสูงมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ดีเสมอ แต่มันกลับไม่ได้รับความนิยม ไม่สามารถเข้าถึงกลุมคนส่วนใหญ่ได้ 


Robert Williams 
โรเบิร์ต เกิดที่เมืองแอลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา (albuquerque, New mexico, USA) ในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1943 พ่อของโรเบิร์ตเป็นคนทางใต้ เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละเบมา (montgomery, Alabama) และได้พบรักกับแม่ของโรเบิร์ตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง


โรเบิร์ตมีนิสัยชอบศิลปะแต่เด็ก ขยันฝึกซ้อมวาดภาพ ภาพที่เค้าวาดส่วนใหญ่นั้นจะเป็นภาพเสมือนจริง ผลงานภาพที่ออกมานั้นสะท้อนให้เห็นว่าเค้าได้รับอิทธิพลมาจากหนังสือการ์ตูน ภาพยนต์ แม็กกาซีนสำหรับเด็กผู้หญิง นิตยสารวิทยาศาสตร์ 

2554-01-23

ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว

มวยไทย คือศิลปะการต่อสู้ของคนไทย ที่ใช้หมัด ศอก แขนท่อนล่าง เท้า แข้ง เข่า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ศีรษะ และลำตัวในการต่อสู้ ศิลปะการต่อสู้ลักษณะนี้ สามารพบเห็นได้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวยไทยเริ่มมีและใช้กันในการสงครามในสมัยก่อน ในปัจจุบันมีการดัดแปลงมวยไทยมาใช้ในกองทัพโดยเรียกว่า "เลิศฤทธิ์" ซึ่งแตกต่างจากมวยไทยในปัจจุบันที่ใช้เป็นการกีฬา โดยมีการใช้นวมขึ้นเพื่อป้องกันการอันตรายที่เกิดขึ้น มวยไทยยังคงได้ชื่อว่า ศาสตร์การโจมตีทั้งแปด ซึ่งรวม สองมือ สองเท้า สองศอก และสองเข่า (บางตำราอาจเป็น นวอาวุธ ซึ่งรวมการใช้ศีรษะโจมตี หรือ ทศอาวุธ ซึ่งรวมการใช้บั้นท้ายกระแทกโจมตีด้วย)
มวยไทยสืบทอดมาจากมวยโบราณ ซึ่งแบ่งออกเป็นแต่ละสายตามท้องที่นั้น ๆ โดยมีสายสำคัญหลัก ๆ เช่น มวยท่าเสา (ภาคเหนือ) มวยโคราช (ภาคอีสาน) มวยไชยา (ภาคใต้) มวยลพบุรีและมวยพระนคร (ภาคกลาง) มีคำกล่าวไว้ว่า "หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าท่าเสา"

หลักการชกมวยไทย
การชกมวยไทยที่ดี มีหลักสำคัญ คือ มีการป้องกัน ด้วยการยืน มั่นคง เข้มแข็ง สูงเด่น การตั้งแขนป้องกัน (การการ์ดมวย) และการเก็บคาง เปรียบเสมือนป้อมปราการ เท้าหน้า จรดชี้ไปข้างหน้าวางน้ำหนักครึ่งฝ่าเท้า เท้าหลัง วางทแยงเฉียงกว้างกว่าหัวไหล่วางน้ำหนักเศษหนึ่งส่วนสี่ไว้ที่อุ้งนิ้วหัวแม่โป้ง ขยับก้าวด้วยการลากเท้าหลังตามพร้อมที่จะหลอกล่อ ขยับเข้า ออก ตั้งรับและโจมตีตอบโต้ แขนหน้ายกกำขึ้นอย่างน้อยเสมอไหล่ หรือจรดสันแก้ม แขนหลังยกกำขึ้นจรดแก้ม ศอกทั้งสองข้างไม่กางออกและไม่แนบชิด ก้มหน้าเก็บคาง ตาเขม็งมองไปตรงหว่างอกของคู่ต้อสู้ พร้อมที่จะเห็นการเคลื่อนไหวทุกส่วน เพื่อที่จะรุก รับ หรือตอบโต้ด้วยแม่ไม้ ลูกไม้และการแจกลูกต่างๆ มีการเคลื่อนไหวที่องอาจมีจังหวะ มีการล่อหลอกและขู่ขวัญที่มีการเปรียบเทียบว่า "ประดุจพญาราชสีห์ และพญาคชสีห์" อาวุธมวยที่ออกไป ต้องมีเป้าหมายและจุดประสงค์แน่นอน (แต่มักซ้อนกลลวงไว้) มีการต่อสู้ระยะไกล (วงนอก) และระยะประชิด (วงใน) และมีทีเด็ดทีขาดในการพิชิตคู่ต่อสู้

แม่ไม้มวยไทย ที่รู้จักแพร่หลาย อาทิ จระเข้ฟาดหาง(หมุนตัวแล้วฟาดตวัดด้วยวงเท้าหลัง), เถรกวาดลาน (เตะกวาดล่างวงนอกรวบสองเท้าให้เสียหลัก), หนุมาณถวายแหวน (ชกหมัดเสยพร้อมกันสองข้าง), มอญยันหลัก (ถีบลำตัวให้เสียหลัก), หักงวงไอยรา (เหยียบคู่ต่อสู้เพื่อยกตัวเตะตวัดก้านคอ), บั่นเศียรทศกัณฑ์ (เตะก้านคอ), ปักลูกทอย (ปักศอกลงตรงหน้าขาคูต่อสู้), มณโฑนั่งแทน (กระโดดขึ้นปักศอกลงกลางกระหม่อม), หิรัญม้วนแผ่นดิน (ศอกกลับ), พระรามเดินดง (เตะแล้วต่อยตามข้างเดียวกัน), มอญแทงกริช (ถองด้วยศอกบริเวณซี่โครงอ่อน), ฤๅษีบดยา (กระโดดปักศอกกลางศีรษะ), พุ่งหอกโมกขศักดิ์ (ตั้งศอกเหนือศีรษะพุ่งเข้าบริเวณใบหน้า) ฯลฯ

องค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของนักมวยไทย
-ขนาดและความสมส่วนของร่างกาย
-ความเข้มแข็งของร่างกายและจิตใจ
จิตวิญญาณของนักสู้
-สมาธิ ปฎิภาณ ไหวพริบ
-ความมีอารมณ์รื่นเริงเบิกบาน อ่อนน้อมและมีไมตรีจิต
-ความศรัทธาเชื่อมั่นกตัญญูต่อครูบาอาจารย์
-ความไม่ประมาทและการประเมินสถานการณ์ที่เหมาะสม
-ความมีน้ำใจนักกีฬา ขยันหมั่นเพียร อดทน อดกลั้น
-การเห็นคุณค่าในความงามของศิลปะการป้องกันตัวแบบมวยไทย

การฝึกฝนวิชามวยไทย
1. การสมัครตัวเป็นศิษย์ต่อสำนักเรียน/ครูมวยที่ศรัทธาเชื่อถือ
2. การเตรียมร่างกายในด้าน ความอดทน แข็งแรง คล่องแคล่ว ว่องไว อ่อนตัว แข็งแกร่งทนทานต่อความเจ็บปวด
3.การฝึกประสาทตา หู สัมผัส
4.การฝึกใช้อวัยวะส่วนต่างๆตามลูกไม้ แม่ไม้เพื่อให้เกิดพิษสงที่ดีที่สุด
5.การฝึกกับอุปกรณ์ต่างๆเพื่อเพิ่มสมรรถภาพโดยรวมและโดยเฉพาะส่วน
6.การฝึกกับคู่ซ้อม/ครู
7.การฝึกแบบจำลองสถานการณ์จากน้อยไปหามาก
8.การฝึกประสบการณ์ตรงโดยมีผู้แนะนำแก้ไข/การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์
9.การฝึกด้านจิตใจสำหรับนักต่อสู้ชั้นสูง
10.การจัดโภชนาการ การบริหารความเครียด การสร้างความผ่อนคลายและการบำบัดรักษาด้วยตนเอง/ผู้เชี่ยวชาญ

อุปกรณ์สำหรับนักมวยไทยที่สำคัญ
1.เครื่องแต่งกาย ได้แก่ กางเกงขาสั้น กระจับ ผ้าพันมือ นวม แบ็ค แองเกิล มงคล ผ้าประเจียด เสื้อคลุม ฟันยาง
2.อุปกรณ์ฝึกซ้อม ได้แก่ กระสอบทราย กระสอบนวม กระสอบยางรถยนต์ ล่อเป้าหมัด ล่อเป้าเตะ-เข่า พันชิ่งบอล ดัมแบล บาเบล กระบองสั้น พลองยาว เก้าอี้ซิทอัฟ เหล็กกำ เชือกกระโดด เชือกมะนิลา กระจกเงา ยางล้อรถยนต์ฝึกการทรงตัว หลักหัวเสา ราวไม้ รั้วต่ำ บาร์เดี่ยว บาร์คู่ เวทีฝึกซ้อม เสื่อ ไม้นวด เตาถ่านและลูกประคบฯลฯ
3.อุปกรณ์อื่น ๆ ได้แก่ วาสลิน กระป๋องฉีดน้ำ (ป็อกเกิล) ผ้าเช็ดตัว ผ้าขนหนู รองเท้าวิ่ง ถังน้ำ กระติกน้ำแข็ง เก้าอี้ เครื่องยาสำคัญ อาทิ น้ำมันมวย ยาหม่อง ยาดำ ยาขม ขมิ้นชัน ไพล บอระเพ็ดหมากพลู ปูนแดง สารส้ม ฯลฯ

มวยไทยมิใช่จะมีเฉพาะความเข้มแข็งของนักสู้แต่มันมากด้วยจิตวิญญานของผู้กตัญญู ผู้อ่อนโยน ผู้เป็นมิตร ผู้อดทน ผู้ให้อภัย และผู้ร่าเริงเบิกบาน บทหนึ่งของมวยไทยอาจดูกระด้าง อาจดูน่าเกรงขามแต่นั่นเพื่อตอบโต้แก่ผู้รุกราน บทหนึ่งของมวยไทยอาจดูอ่อนด้อยน่าย่ำยีแต่นั่นเป็นกลลวงสำหรับผู้ที่เย่อหยิ่งจองหองเท่านั้น และทั้งหมดนั้นผู้ที่เป็นมวยซึ่งได้ผ่านสังเวียนการต่อสู้ทั้งที่มีเกียรติและไร้เกียรติมาอย่างโชกโชนย่อมเข้าใจดีว่ามวยไทยที่เขาได้ใช้มันออกไปเพื่อแสดงอะไร

ศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทย มีพัฒนาการควบคู่มากับวิถีชีวิตของคนไทย จึงมีลักษณะผสมผสานด้านการต่อสู้เพื่อใช้ป้องกันตัวและต่อต้านการรุกรานของชนเผ่าอื่น แล้วยังรวมเอาการแสดงศิลปะลีลาของการใช้อวัยวาวุธอันมีความหลากหลายพิสดารน่าดูไว้ด้วยตามลักษณะนิสัยของคนไทยที่ชอบการแสดงออก ความสนุกสนานร่าเริงและเป็นมิตร ตลอดถึงความเป็นคนอ่อนน้อม กตัญญูรู้คุณคน ซึ่งถือเป็นหลักการของศิลปะการต่อสู้เฉพาะ ชนชาวไทย ที่มีรูปแบบที่แตกต่างจากชาติใดๆ ผู้ที่เรียนรู้ ฝึกฝนจนเข้าถึงและเข้าใจจึงจะสามารถคงเอกลักษณ์นี้ไว้ได้

2554-01-16

Latte Art


ศิลปะลาเต้เป็นรูปแบบของศิลปะซึ่งประกอบด้วยการเทนมนึ่งหรือโฟมลงไปในเอสเพรสโซที่ออกแบบไว้สำหรับทำลาเต้ ชั้นบนสุดของโฟมใช้สำหรับการวาดภาพ ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์ของบาริสต้า คุณภาพของเครื่องชงกาแฟจึงจะสร้างภาพบนชั้นโฟมได้
ตามประวัติดังเดิมของลาเต้เกิดขึ้นครั้งแรกที่อิตาลี และแพร่หลายไปยังต่างประเทศ เกิดการพัฒนารูปแบบลาเต้ เทคนิคการทำเอสเพรสโซและโฟมหรือเรียกว่าmicrofoam ในสหรัฐอเมริกสนั้นศิลปะลาเต้ได้รับการพัฒนาไปอย่างมากในช่วงปี 1980 และ 1990 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดขึ้นของลาเต้รูปแบบหัวใจ หรือรูปแบบลายดอกกุหลาบ ซึ่งคิดค้นโดย เดวิด สโคเมอร์ ( David Schomer )
เทคนิคการเทลาเต้
1. โฟมนมต้องนุ่มและไม่หนาเกินไป การรินน้ำนมหยดแรกต้องค่อยๆริน มิฉะนั้นจะขึ้นขาวเร็ว
2. รินเบาๆอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาโฟมนมไว้ในเหยือก และไม่ทำให้ผิวครีมากาแฟแตกเป็นฝ้าขาว
3. เมื่อระดับน้ำกาแฟเลยครึ่งถ้วยขึ้นมาจึงเริ่มกดเหยือกต่ำลง รินแรงขึ้นหรือสะบัดปากเหยือกเล็กน้อย โฟมนมในเหยือกจะค่อยๆไหลลงสะสมตัวบนผิวครีมากาแฟ โฟมนมจะค่อยๆสะสมตัวเป็นการเริ่มต้นการขึ้นรูป






From Youtube and Wikipedia

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ชื่อกาแฟอย่าง เอสเพรสโซ่ คาปูชิโน่ หรือ มอคค่า เป็นชื่อวิธีการชง ไม่ใช่ชนิดของเมล็ดกาแฟ

แต่ละวิธีมีองค์ประกอบและสัดส่วนต่างกัน บางวิธีใส่นม บางวิธีใส่ฟองนม ซึ่งจะให้สัมผัสของกาแฟต่าง


กัน

น่าแปลกที่ร้านกาแฟหลายแห่งชอบเอาเมล็ดกาแฟใส่ขวดโหลแปะป้ายว่า คาปูชิโนบ้าง มอคค่าบ้าง


ราวกับเป็นพันธุ์ของเมล็ดกาแฟ

credit: FB วิชาการ.คอม 















 credit image postjung.com