อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เจ้าของรางวัลศิลปากร สาขาทัศนศิลป์ ปี 2547 กว่าวว่า ศิลปะเนี่ยไม่ว่าร้องเพลงก็ดี ไม่ว่าวาดรูปก็ดี เล่นดนตรีก็ดี มันเป็นศิลปะที่จะทำให้เด็กได้รับการพักผ่อน เด็กได้มีสติ อยู่ในโลกส่วนตัวของเค้าเนี่ย เค้าจะได้รับการพักผ่อน เค้าจะมีโอกาสในการที่จะจะทำให้สมองของเค้ามีความจำที่ดี เพราะว่าเค้ามีความสุขกับบางอย่าง มนุษย์มันต้องมีความสุขกับบางอย่างนั้นคิอศิลปะ การอยู่กับศิลปะ การได้เห็นศิลปะ การได้เห็นงาน การได้ร้องเพลง ฟังเพลงเพราะๆ ได้อ่านบทกวีดีๆ เหล่านี้มันเป็นสิ่งที่กล่อมเกลาจิตใจ ทำให้จิตใจเราเป็นศูนย์ จะคิดจะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ดี
ทุกโรงเรียนจะมีครูสอนศิลปะอยู่แล้ว ดังนั้นมันต้องครู ครูเป็นผู้ที่ดำเนินการ ดังนั้นถ้าครูมีความขยันหมั่นเพียร ครูเห็นว่าศิลปะมีค่าสำหรับเด็กในการทำให้เด็กมีความสุข ในการทำให้เด็กมีจิตนาการ ครูก็ต้องเอาใจใส่ ครูก็ต้องเอาใจใส่เด็ก เดี๋ยวนี้เด็กมันเรียนโรงเรียนที่ไม่มีครูเอาใจใส่ เค้าก็ออกไปเรียนโรงเรียนพิเศษวาดรูป เยอะแยะไป
ครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่ถ้าเห็นเด็กวาดรูปแล้วไม่ชอบ ไปเคี่ยวเข็ญเค้าไปห้ามเค้า ให้เค้าไปอ่านหนังสือเอาไปอ่านหนังสือมากเกินไป มันก็เครียด ดังนั้นต้องให้เค้าได้พักผ่อนบ้าง ไม่ใช่ว่าจะให้เค้ามายึดเป็นอาชีพ แต่ศิลปะมันอยู่ในใจมนุษย์ทุกคน ทำให้มนุษย์มีความสุข ทำให้มนุษย์เป็นคนดี ศิลปะเป็นคุณงามความดี มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางอ้อม ศิลปะเป็นสิ่งที่กล่อมเกลา ทำให้มนุษย์เป็นคนดี ดังนั้นศิลปะให้ประโยชน์แก่ทางใจ มันไม่ออกมาเป็นรูปร่างเป็นตัวเงิน ที่ให้คุณค่าทางจิตใจ ดังนั้นคนที่สนใจศิลปะ เป็นการพักผ่อนทางจิตวิญญาณที่ดีที่สุด ใจจะเป็นสุข ชีวิตเค้าจะเป็นสุข
อันนี้คือสิ่งที่คนไทยเราไม่รู้จัก คนไทยเราขาดเรื่องนี้ คนไทยเรามัวแต่หาเงิน ดังนั้นประเทศที่เจริญแล้วมองว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ ถ้าสังคมด้อยพัฒนาอย่างประเทศเราไม่สนใจ มันเจริญยากเพราะมันขาดศิลปะ ลองดูสังคมฝรั่งสิทำไมมันเจริญ ทำไมมันร่ำรวย ทำไมเศรษฐกิจมันดี ทุกอย่างมันดีหมด เพราะมันมีสุนทรียภาพทางด้านความงาม มันรู้ว่าศิลปะมันสร้างบุคลากรของประเทศชาติ แต่ศิลปะไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกที่สามอย่างพวกเรา ประเทศที่จน หรือประเทศที่ยังไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าเทียมกับฝรั่ง
แต่ขณะนี้มันก็ดีแล้ว ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ขณะนี้ก็ดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว 20 ปีที่แล้ว มนุษย์มันจะต้องอิ่มหมีพีมัน มันถึงจะเข้าสู่ศิลปะ ดังนั้นศิลปะทำให้มนุษย์มีค่า ทำให้มนุษย์มีจิตนาการ คนไทยมีนิสัยชอบลอก เพราะมันขาดศิลปะ ขาดการเรียนรู้ศิลปะมันจึงลอก
ถึงเวลาสังคมมันจะตื่นตัวของมันเอง เราอย่าไปเคี่ยวเข็ญมัน เราไม่ต้องประกาศถึงประเทศไทยว่าเม่งมึงต้องวาดรูป มันไม่ใช่ มันเป็นไปตามอัตโนมัติ มันเป็นไปตามวิถีของสังคม สังคมเราดีขึ้นมา เค้าก็เห็นค่าของจิตใจ ดังนั้น อีคิวเป็นเรื่องสำคัญ อีคิวมันจะสำคัญก็ต่อเมื่อท้องอิ่ม ต่อเมื่อประเทศชาติมันร่ำรวย ดังนั้นประเทศที่เจริญเนี่ยจะส่งเสริม อีคิวแต่เด็กก็คือศิลปะ เมื่อเด็กเติบโตมีพื้นฐานทางศิลปะ มันก็เติบโตขึ้นมามันก็ใช้ อีคิวและไอคิว ดังนั้นทำให้บ้านเมืองเกิดการพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่กระบวนการคึด ทางวิทยาศาตร์ ทางสังคม ทางการเมือง ทุกอย่าง ทางเศรษฐกิจ มันถึงคิดใหม่ทำใหม่ เพราะมันคิดเป็นเพราะมันมีจินตนาการ ดังนั้นศิลปะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ในเชิงสร้างสรรค์ จบการสัมภาษณ์
ที่มา
แปรคำปรามาสเป็นพลัง อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
“อ้าย เหลิมสร้างสวรรค์ อ้ายหวันสร้างนรก”
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปิน จิตรกรชื่อก้องของเมืองไทย ให้คำนิยามสถาปัตยกรรมที่ตัวเองและอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินรุ่นพี่อีกคนหนึ่งซึ่งมีนิวาสสถานอยู่ไม่ห่างกันนักในอำเภอเมืองเชียงราย กำลังสรรค์สร้างไว้อย่างนั้น
อ้ายเหลิมสร้างสวรรค์ หมายถึง อาจารย์เฉลิมชัยสร้างวัดสีขาวล้วน
อ้ายหวันสร้างนรก หมายถึง อาจารย์ถวัลย์สร้างบ้านดำหรือสถาปัตยกรรมทุกอย่างที่เน้นสีดำเป็นองค์ประกอบหลัก
ทั้งสองท่านเป็นศิลปินใหญ่เชื้อสายคนเชียงราย แต่มีความคิดและฝีมือคมคายในระดับที่เป็นคนของโลกได้อย่างสบาย แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกความสำเร็จล้วนมีตำนานรองรับเสมอ นี่เป็นสัจธรรมที่คนเด่นดังทั้งหลายต่างทราบอยู่แก่ใจเป็นอย่างดี ความสำเร็จของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ก็เช่นกัน
การที่เด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งเคยมีคนปรามาสว่าเป็นกะเหรี่ยงลงดอยจะกลายมาเป็นศิลปินใหญ
่ที่มีคนรู้จักมากมายทั้งประเทศ แน่นอนว่าเส้นทางสายนี้ย่อมมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับเป็นเส้นทางที่ขรุขระอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะขรุขระอย่างไร แม้วลงดอยก็พิชิตมาได้อย่างสง่างาม เพราะมี ธรรม บางอย่างอยู่ในใจ
คนไม่มีธรรม ยากจะประสบความสำเร็จ
ธรรมแห่งความสำเร็จของอาจารย์เฉลิมชัยก็คือ การเป็นคนมองโลกในแง่บวก และการเป็นคนที่ยึดเอาความเพียร เป็นสรณะมาโดยตลอด
ถ้าไม่เพราะมองโลกในแง่บวก มีหรือคนธรรมดาสามัญจากครอบครัวแตกแยกคนหนึ่งจะสามารถเนรมิตวัดที่งามดังชะลอจากสวรร
ค์ ถึงขนาดที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเรียกว่าเป็น The Painting on the Sky ลงมาประดิษฐานไว้ในเมืองมนุษย์ได้อย่างวิจิตรตระการตา โอ่อ่า อลังการ เช่นที่เห็นและเป็นอยู่ทุกวันนี้
อาจารย์เฉลิมชัยเล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ ว่า เมื่อแรกมาสอบเข้าที่โรงเรียนเพาะช่าง ไม่มีความพร้อมแม้แต่อย่างเดียว มีแต่ใจที่รักอยากจะเรียนศิลปะเท่านั้น(ตรงกับฉันทะ ) เป็นทุนไปสู้กับคนอื่น ครั้นพอไปสอบสัมภาษณ์ก่อนสอบข้อเขียนและสอบจริงภาคปฏิบัติด้วยการแสดงฝีมือทางศิลปะ อาจารย์เฉลิมชัยก็พบว่าทุกอย่างไม่ง่ายซ้ำยังได้คำปรามาสจากอาจารย์ผู้สอบสัมภาษณ์มา
เป็นของแถมเสียอีกด้วย
“ตอนนั้นเขามีการสอบสัมภาษณ์ก่อนสอบจริง พี่ก็เข้าไป อาจารย์ท่านชื่ออาจารย์พจน์สิน ก็มองหน้าเรา มองขึ้นมองลง ดูใบสำคัญแล้วก็ถามว่ามาจากเชียงรายหรือ เราก็ครับ แกมองหน้าเราแบบเหยียดๆ แล้วก็บอกว่า คนดอยนี่ เราก็คิดในใจว่าไอ้นี่ยังไงวะ มาหาว่าเราเป็นคนดอย แกมองหม่แล้วก็บอกว่า กลับไปเหอะ กลับดอยไป เกรดแค่เนี้ยสอบไม่ได้หรอก เสียเวลาเปล่า”
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปิน จิตรกรชื่อก้องของเมืองไทย ให้คำนิยามสถาปัตยกรรมที่ตัวเองและอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินรุ่นพี่อีกคนหนึ่งซึ่งมีนิวาสสถานอยู่ไม่ห่างกันนักในอำเภอเมืองเชียงราย กำลังสรรค์สร้างไว้อย่างนั้น
อ้ายเหลิมสร้างสวรรค์ หมายถึง อาจารย์เฉลิมชัยสร้างวัดสีขาวล้วน
อ้ายหวันสร้างนรก หมายถึง อาจารย์ถวัลย์สร้างบ้านดำหรือสถาปัตยกรรมทุกอย่างที่เน้นสีดำเป็นองค์ประกอบหลัก
ทั้งสองท่านเป็นศิลปินใหญ่เชื้อสายคนเชียงราย แต่มีความคิดและฝีมือคมคายในระดับที่เป็นคนของโลกได้อย่างสบาย แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกความสำเร็จล้วนมีตำนานรองรับเสมอ นี่เป็นสัจธรรมที่คนเด่นดังทั้งหลายต่างทราบอยู่แก่ใจเป็นอย่างดี ความสำเร็จของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ก็เช่นกัน
การที่เด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งเคยมีคนปรามาสว่าเป็นกะเหรี่ยงลงดอยจะกลายมาเป็นศิลปินใหญ
่ที่มีคนรู้จักมากมายทั้งประเทศ แน่นอนว่าเส้นทางสายนี้ย่อมมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับเป็นเส้นทางที่ขรุขระอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะขรุขระอย่างไร แม้วลงดอยก็พิชิตมาได้อย่างสง่างาม เพราะมี ธรรม บางอย่างอยู่ในใจ
คนไม่มีธรรม ยากจะประสบความสำเร็จ
ธรรมแห่งความสำเร็จของอาจารย์เฉลิมชัยก็คือ การเป็นคนมองโลกในแง่บวก และการเป็นคนที่ยึดเอาความเพียร เป็นสรณะมาโดยตลอด
ถ้าไม่เพราะมองโลกในแง่บวก มีหรือคนธรรมดาสามัญจากครอบครัวแตกแยกคนหนึ่งจะสามารถเนรมิตวัดที่งามดังชะลอจากสวรร
ค์ ถึงขนาดที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเรียกว่าเป็น The Painting on the Sky ลงมาประดิษฐานไว้ในเมืองมนุษย์ได้อย่างวิจิตรตระการตา โอ่อ่า อลังการ เช่นที่เห็นและเป็นอยู่ทุกวันนี้
อาจารย์เฉลิมชัยเล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ ว่า เมื่อแรกมาสอบเข้าที่โรงเรียนเพาะช่าง ไม่มีความพร้อมแม้แต่อย่างเดียว มีแต่ใจที่รักอยากจะเรียนศิลปะเท่านั้น(ตรงกับฉันทะ ) เป็นทุนไปสู้กับคนอื่น ครั้นพอไปสอบสัมภาษณ์ก่อนสอบข้อเขียนและสอบจริงภาคปฏิบัติด้วยการแสดงฝีมือทางศิลปะ อาจารย์เฉลิมชัยก็พบว่าทุกอย่างไม่ง่ายซ้ำยังได้คำปรามาสจากอาจารย์ผู้สอบสัมภาษณ์มา
เป็นของแถมเสียอีกด้วย
“ตอนนั้นเขามีการสอบสัมภาษณ์ก่อนสอบจริง พี่ก็เข้าไป อาจารย์ท่านชื่ออาจารย์พจน์สิน ก็มองหน้าเรา มองขึ้นมองลง ดูใบสำคัญแล้วก็ถามว่ามาจากเชียงรายหรือ เราก็ครับ แกมองหน้าเราแบบเหยียดๆ แล้วก็บอกว่า คนดอยนี่ เราก็คิดในใจว่าไอ้นี่ยังไงวะ มาหาว่าเราเป็นคนดอย แกมองหม่แล้วก็บอกว่า กลับไปเหอะ กลับดอยไป เกรดแค่เนี้ยสอบไม่ได้หรอก เสียเวลาเปล่า”